Archive | ธันวาคม, 2011

MV แรกในชีวิต

31 ธ.ค.

วิธีทำลายเชื้อโรคบนฟองน้ำ

26 ธ.ค.

วิธีลดหรือทำลายเชื้อแบคทีเรียในฟองน้ำล้างจานจะมีด้วยกันอยู่หลายวิธี โดยหลังจากที่เราใช้ฟองน้ำล้างทำความสะอาดภาชนะและอุปกรณ์ต่างๆ ในครัวเสร็จแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือ

1. นำฟองน้ำไปล้างน้ำเปล่าให้สะอาดแล้วนำออกไปตากแดดจัด ตากทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง วิธีนี้อาจจะไม่เห็นผลได้ 100% หากในวันที่ไม่มีแสงแดด

2. ควรหมั่นนำฟองน้ำไปต้มในน้ำเดือด เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ จากนั้นบีบฟองน้ำให้แห้งก่อนนำไปตากแดด

3. นำน้ำกรดน้ำส้มหรือน้ำส้มสายชู  ผสมกับน้ำเปล่าในสัดส่วนน้ำส้มสายชู 4 ช้อนโต๊ะต่อน้ำครึ่งลิตร แล้วนำฟองน้ำที่ใช้ล้างภาชนะในแต่ละวันไปแช่ทิ้งไว้ค้างคืน แล้วทำอย่างนี้ทุกวันแต่ควรเปลี่ยนน้ำส้มสายชูทุกครั้งก่อนการแช่ วิธีนี้ภาวะที่มีความเป็นกรดนั้นจะช่วยไปลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ให้อยู่ในระดับปลอดภัยแก่การบริโภคได้

เมื่อเราทราบวิธีทำลายเชื้อแบคทีเรียในฟองน้ำล้างจานกันแล้ว แต่ทางที่ดีเราควรจัดสภาพของห้องครัวให้โปร่งอากาศถ่ายเท แลมีแสงลอดผ่านเข้ามาได้ และที่สำคัญควรแยกฟองน้ำสำหรับการใช้งานที่ต่างกัน เช่น ฟองน้ำล้างจาน ควรเป็นคนละแผ่นกับฟองน้ำเช็ดเคาน์เตอร์หรือตัวเตา และเมื่อสกปรกมากควรเปลี่ยนทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้จนเกิดเชื้อรา

credit:http://pitchaya.net/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5/

ภูกระดึง

25 ธ.ค.

บน ภูกระดึง จะมีเส้นทางที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งน้ำตก ทางเลียบผา โดยในแผนที่ (ข้างบนก็มี) จะบอกระยะทางและ คำแนะนำในเรื่องการจัดเส้นทางท่องเที่ยวซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อยู่บนนั้น หากมีเวลาจำกัด เช่น มีเวลาแค่วันนึงบนภูกระดึง (ไม่นับวันขึ้นและวันลง) เราสามารถ ไปเฉพาะที่ที่สำคัญๆเช่น น้ำตกเพ็ญพบ เพ็ญพบไหม่ น้ำตกถ้ำใหญ่ ผาหล่มสัก (ดูพระอาทิตย์ตก) และ ผานกแอ่น (ดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า)  

แต่หากใครมีเวลาหลายวันบนนั้นก็ค่อยๆเดินเก็บไปทีละจุด ใช้เวลาดื่มด่ำธรรมชาติ และถ่ายรูปได้เต็มที่

มาดูเส้นทางท่องเที่ยวบนภูกระดึง

เส้นทางเลียบผาที่ภูกระดึง

ผานกแอ่น

ผานกแอ่น Highlight แห่งการถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น เป็นลานหินเล็กๆ มีสนต้นหนึ่ง ขึ้นโดดเด่นอยู่ริมหน้าผา เป็นจุดท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่สำคัญอยู่จากที่พักศูนย์วังกวางเพียง 2 กิโลเมตร ในทุกเช้าของหน้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปกันมากและ มักจะมีการชิงทำเลดีๆ เสมอ สมัยนี้ทางไปมักมีช้างอาละวาด ตอนเช้าจะต้องไปพร้อมเจ้าหน้าที่เสมอ ห้ามไปเอง เป็นอันขาด

ผานกแอ่น Review Trip ที่ภูกระดึง
พระอาทิตย์ขึ้นที่ ผานกแอ่น ภูกระดึง

นอกจากนั้น หากอากาศดีพอ ในช่วงเวลาที่เดินเท้าฝ่าความมืดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้น เป็นช่วงที่ประจวบเหมาะกับ เวลาที่พระจันทร์กำลังจะลับขอบฟ้า ด้านตะวันตกนั้นจะได้เห็นภาพสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ ซึ่งจะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือน มีนาคม-เมษายน และใครที่อยากไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย

ผาหล่มสัก

ใครไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ตกที่ ผาหล่มสัก ก็เหมือนไม่ได้มาเยือนภูกระดึง ตัว ผาหล่มสัก อยู่ห่างจากผาแดง 2.5 กิโลเมตร หากเดินมาจากแยกศูนย์โทรคมนาคมกองทัพอากาศ บนเส้นทางน้ำตก แต่ถ้าเดินจากที่พักศูนย์วังกวาง จะมีระยะประมาณ 9 กิโลเมตร หากจะมาต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะขากลับจะมืดกลางทางอย่างแน่นอน

ผาหล่มสัก Review Trip ที่ภูกระดึง
ผาหล่มสักภูกระดึง

ด้วยลักษณะแผ่นหินแปลกตากับโค้งกิ่งสนที่รองรับกันพอดิบพอดีเช่นนี้ นักท่องเที่ยวจึงนิยมจะใช้เป็นจุดชมวิว ดูดวงอาทิตย์ตกดิน และน่าจะถือได้ว่าเป็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง แนะนำสักนิดสำหรับผู้ที่จะไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

ผาหมากดูก

อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.5 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตกที่ใกล้ที่พักมากที่สุด สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก

เส้นทางน้ำตก – ดูใบเมเปิ้ล (Maple) ที่ภูกระดึง

เส้นทางน้ำตก - ดูใบเมเปิ้ล (Maple) ที่ภูกระดึง
ระหว่างเส้นทางสายน้ำตกที่ภูกระดึง จะพบกับใบเมเปิ้ลหล่นที่พื้นสวยงามมาก

น้ำตกวังกวาง.

น้ำตกวังกวาง อยู่ใกล้ที่พักศูนย์วังกวางมากที่สุด โดยมีระยะทางห่างแค่ราว 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ห้วยเล็กๆ ที่โอบล้อมที่พักอีกด้านจะไหลลงน้ำตกที่นี่ วังกวางเป็นน้ำตกเล็กๆ ชั้นที่สูงสุด จะสูงประมาณ 7 เมตร ด้านข้างของน้ำตกมีทางแคบๆ สำหรับปีนลงไปทีละคน จะพบหลืบหินมีลักษณะคล้ายถ้ำใต้น้ำตกน้ำตกวังกวางจะมีความสวยงามมากในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม บริเวณนี้จะมีทากชุม เพราะเป็นด่านช้าง หรือทางช้างเดิน ส่วนในฤดูท่องเที่ยวซึ่งเป็นฤดูแล้ง ปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย นักท่องเที่ยวสามารถแวะชมได้ง่ายใกล้ที่พัก
ใบเมเปิ้ลที่มักจะหนาแน่นช่วงปลายพฤศจิกายน ถึง ต้นๆเดือนธันวาคม

น้ำตกถ้ำสอเหนือ

อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดงซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้กับบริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น 

ใบเมเปิ้ล (Maple) บนภูกระดึง ที่จะหนาแน่นระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม<br />
ใบเมเปิ้ล (Maple) ที่จะหนาแน่นระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

น้ำตกเพ็ญพบใหม่

เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่านลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ

น้ำตกถ้ำใหญ่

เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีใบ Maple ตกหนาแน่น ซึ่งเหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ

มาดูใบเมเปิ้ลที่น้ำตก น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ และน้ำตกถ้ำใหญ่
มาดูใบเมเปิ้ลที่มักจะพบที่ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ และน้ำตกถ้ำใหญ่ บนภูกระดึง

สระอโนดาด

อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.7 กิโลเมตร เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักที่มีต้นสนขึ้นเป็นแนวแน่นขนัด ใกล้กันยังมีลานกินรี ซึ่งเป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา หยาดน้ำค้าง หรือเฟิร์น เช่น กระปรอกสิงห์ บนหินยังมีไลเคนขึ้นอยู่เต็มไปหมดด้วย

credit:http://witternews.com/phukradung-maple-waterfall/

ความแตกต่างของงูกรีนแมมบ้าและงูเขียวทั่วไป

25 ธ.ค.

 

ตามที่ได้แจ้งเตือนไปแล้วเกี่ยวกับงูกรีนแมมบ้า ที่หลุดออกมาจากบ้านย่านปากเกร็ด ซึ่งเป็นงูพิษที่ปัจจุบันยังไม่มีเซรุ่มในไทย จำนวน 15 ตัว ออกมาโอ้ลัลล่า อยู่ภายนอก งูดังกล่าวชอบอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ ดังนั้น ให้ทุกท่านโปรดระมัดระวัง ด้วยตนเอง ย้ำ !!! ด้วยตนเอง

งูกรีนแมมบ้า แม้นจะเป็นงูขนาดใหญ่ แต่ด้วยความที่สีสันสวยงาม และอาจจะเป็นญาตห่าง ๆ กับงูเขียวที่เรา ๆ รู้จักกันดี ซึ่งอาจจะทำให้เรา หรือเด็ก ๆ ของเราประมาทนึกว่าเป็นงูเขียว แล้วจับเอาไปเล่น (สมัยก่อนการเลี้ยงงูเขียวปากจิ้งจก เป็นการอินเทรนด์อย่างหนึง) เอาได้ กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ท่านและลูกหลานของท่านอาจเดินทางไปเฝ้าพระเจ้าตามความเชื่อของท่านเรียบร้อยไปแล้ว

วันนี้จึงขอนำเอาความแตกต่างระหว่าง “งูเขียวทั่วไป” และ “งูกรีนแมมบ้า” พิษร้ายที่ไร้เซรุ่มมาให้ดูกัน ตามภาพดังนี้

ทีนี้ท่านที่สงสัยว่า ถ้ามันมาทางน้ำ ไม่ได้เกาะเกี่ยวอยู่บนต้นไม้จะทำอย่างไร เรามีวิธีสังเกตุ “งูที่มีพิษ” และ “งูที่ไม่มีพิษ” ที่จะมาทางน้ำ ดังนี้นะค่ะ

“งูที่มีพิษ” เวลามันมาทางน้ำ มันจะว่ายน้ำมา ลอยตัวสง่างามอยู่บนผิวน้ำ จนเราซึมซาบความงามของมันทั่วทั้งขุมขน ได้บนผิวน้ำกันเลยทีเดียว คือ มันจะว่ายมาเหนือผิวน้ำ ให้เห็นกันจะจะ ทั้งตัว เน้น !!! “ว่ายมาบนผิวน้ำ แสดงว่า มีพิษ” ค่ะ

“งูไม่มีพิษ” เวลามันมาทางน้ำ มันจะไม่อวดโฉมทั้งตัว (ขืนอวดทั้งตัวจะไปจับอะไรกินได้ไง) มัจะโผล่มาแต่หัวค่ะ หัวเท่านั้นที่เขาขอโชว์ สรุปได้ว่า “งูไม่มีพิษ จะว่ายอยู่ใต้น้ำ โชว์แต่หัว จะจะนะจ๊ะ”

แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่ามันจะมีพิษ ไม่มีพิษ จะเป็นงูเขียวธรรมดา หรืองูกรีนแมมบ้า ตัวเอ้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะมีสติ (แม้นไม่มีสตางค์) โทรไปที่ 1362 หรือสายด่วน จส. 100 ที่หมายเลข 02-711-9160 แต่ถ้าอยากเจอลุงสมภพ 089-043-8445 หมายเลขนี้ได้ตลอด 24 ชม. กันเลยทีเดียว  แต่ถ้าดูแล้วว่าเป็น “กรีนแมมบ้า” แน่แล้ว ก็อย่าลืมกระซิบบอกแกด้วยหละว่า มันไม่ใช่ “งูเขียว” แต่เป็น “งูกรีนแมมบ้า” พิษร้ายไร้เซรุ่ม นะจ๊ะลุงจ๋า

credit:http://www.oknation.net/blog/swongviggit/2011/11/02/entry-6

Nyan cat

23 ธ.ค.


 

Nyan Cat

 

Nyan Cat เป็นแมวบินได้ ที่มีลำตัวเป็นขนมเชอร์รี่ ป็อบทาร์ตเค้ก (cherry pop-tart) โดยที่ขณะบินไปในท้องฟ้าหรืออวกาศ จะส่าย
หางไปด้วย และหลงเหลือไว้เป็นเส้นทางสายรุ้ง พร้อมกับเพลงประกอบ “Nyanyanyanyanyanyanya!” (บ้างก็ว่าผายลม หรืออึเป็น
สายรุ้ง)

ตัวอนิเมชั่นนี้ถูกสร้างขึ้นแบบดั้งเดิมโดย Chris Torres (PRguitarman) ในวันที่ 2 เมษายน 2011 จากนั้นเขาได้โพสท์ลงไปยัง
เว็บไซต์ LOL-Comics เพื่อให้เป็นอะไรที่ดูน่ารัก หลังจากนั้นผู้ใช้งานยูทูปรายหนึ่งที่ชื่อ “saraj00n” ได้นำอนิเมชั่นแมว มารวมกับ
เพลง Nyanyanyanyanyanyanya! และอัพโหลดลงในยูทูป ในวันที่ 5 เมษายน 2011 จนกระทั่งฮิตติดลม เข้ามาชมกันอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเพลง Nyanyanyanyanyanyanya! นั้น มาจากเสียงของคนที่ชื่อ ฮัทซุเนะ มิกุ(Hatsune Miku) ซึ่งถูกอัพโหลดไว้ตั้งแต่ในปี
2010 และสำหรับเนื้อเพลงหรือคำร้องว่า Nyan นั้นเป็นเสียงร้องของแมว ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง

ความฮิตของ Nyan Cat ไม่ได้มาจากเวอร์ชั่นดั้งเดิมเท่านั้น มันยังถูกทำออกมาในแบบล้อเลียนภาพยนตร์ต่างๆ หลายเวอร์ชั่น ได้แก่
เวอร์ชั่น Starwar หรือเวอร์ชั่น Star Trek (ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้ว ว่าแมวบินอยู่ในอวกาศ) หรือไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นล้อเลียนใน
แบบเจ้าส้มน่ารำคาญ (Annoying Orange) ที่ขี่หลังยูนิคอร์นแล้วร้องเพลง Nyan ไปเรื่อยๆ

credit:http://www.siamget.com/news/988

เชื่อว่าหลายคนกำลังหิวขนมอยู่(ไม่มีเนื้อหา)

22 ธ.ค.

รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน 

รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน
รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน
รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน
รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน
รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน
รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน
รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน
รูปภาพ ลูกกวาด ขนมหวาน หลากสีน่ากิ๊นน่ากิน

credit:http://play.kapook.com/photo/show-94744

แมวลาเพิร์ม (Laperm)

22 ธ.ค.
 

เจ้าเหมียวขนหยิกพันธุ์นี้นั้นมีชื่อว่าแมว laperm

มีถิ่นกำเนิดในสหรัฐอเมริกาที่ Dalles,Oregon ในปี1982 นี้เอง  ซึ่งต้องถือว่าเป็นแมวสายพันธุ์ใหม่มากเมื่อเทียบกับแมวพันธุ์อื่นๆที่มักมีมาเป็นร้อยปีแล้ว โดยแมวลาเพิร์มนี้เกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์และความเปลี่ยนแปลงของพันธุกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในลูกแมวเพศเมียตัวหนึ่งที่มีแม่ เป็นแมวบ้านธรรมดาลายแทบบี้ซึ่งแมวตัวนี้เป็นแมวตัวเดียวในลูกแมวทั้งหกที่เกิดมาไม่มีขนเลยแต่มีลายแทบบี้บนผิวหนังแทน แต่เมื่อโตขึ้นกลับกลายเป็นแมวที่มีขนนุ่มและหยิก

   ลูกแมวตัวนี้ถูกตั้งชื่อว่า Curly โดยเจ้าของฟาร์ม Richard และ Linda Koehl และได้ใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มกับแมวตัวอื่นตามปกติ จนวันหนึ่ง Curly ได้ประสบอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวอยู่ในบ้าน ได้ใกล้ชิดเจ้าของ และด้วยเหตุนี้เองทำให้เจ้าของทั้งสองเกิดรู้สึกถูกใจนิสัยน่ารักและขี้อ้อนของเขา ต่อมา Curly นั้นได้ตั้งท้องและมีลูกทั้งหมด5ตัว ทั้งหมดเป็นตัวผู้ และทั้งหมดเมื่อเกิดมาไม่มีขนเหมือนแม่ และเมื่อโตมาก็มีขนที่นุ่มและหยิกเช่นเดียวกับแม่ ลูกแมวทั้งหมดนี้จึงถูกใช้ในการผสมพันธุ์ต่อไปอีกซึ่งได้ให้ลูกแมวที่มีขนหยิกออกมามากมาย ซึ่งมีทั้งขนหยิกยาวและขนหยิกที่สั้น และยังมีหลายสีและหลายลวดลายตั้งแต่สีช็อกโกแลต ไปจนถึงลาย Siamee (แมวเก้าแต้ม/วิเชียรมาศ)เนื่องจากแมวในบริเวณนั้นมีหลายเชื้อหลายสายพันธุ์ เมื่อคนที่พบเห็นเริ่มถาม Linda ถึงแมวที่ไม่เหมือนใครของเธอเหล่านี้ เธอจึงเริ่มค้นหาข้อมูลและพบว่าเธอมีแมวที่เป็นลักษณะของแมวrexทั้งที่ไม่ได้มีเชื้อสายของแมวประเภทนี้ จากนั้นเธอจึงเริ่มพาแมวของเธอไปตามงานประกวดต่างๆเพื่อสอบถามผู้เพาะพันธุ์แมวผู้ประกวดแมว และกรรมการตัดสินที่ต่างก็ใหความเห็นว่าเธอมีแมวที่มีลักษณะพิเศษมาก ต่อมาเธอได้รับการสนับสนุนจากสมาคมแมวในสหรัฐอเมริกา ในการพัฒนาสายพันธุ์แมวและเพาะแมวสายพันธุ์ใหม่นี้ขึ้นมาจนได้รับการจดทะเบียนในอเมริกาและหลายๆประเทศให้เป็นแมวพันธุ์แท้อีกพันธุ์หนึ่งในที่สุด

     ด้วยสาเหตุที่แมวลาเพิร์มเป็นแมวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและเป็นการผสมข้ามสายพันธุ์หลายสายจากแมวในท้องถิ่น ทำให้แมวเพิร์มเป็นแมวที่มีสุขภาพดีเยี่ยมและไม่มีข้อบกพร่องหรือโรคทางกรรมพันธุ์เหมือนแมวพันธุ์แท้ส่วนใหญ่ที่ถูกผสมกลับไปกลับมาในหมู่ญาติพี่น้องเพื่อให้ได้ลักษณะที่ต้องการ เพราะพันธุกรรมขนหยิกนี้เป็นพันธุกรรมเด่น ทำให้ลูกแมวส่วนใหญ่ไม่ว่าจะผสมกับแมวอะไรก็จะมีขนหยิกไปด้วย นอกจากนี้ด้วยเหตุที่เขามีต้นกำเนิดจากแมวบ้านทั่วไป ทำให้การพัฒนาสายพันธุ์นั้นเป็นการใช้แมวบ้านที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับลักษณะที่ต้องการผสม ทำให้กรรมพันธุ์ของเขายิ่งหลากหลายและแข็งแรงมากขึ้น

      แมว ลาเพิร์มเป็นแมวที่เป็นแม่ที่ดี ให้ลูกที่แข็งแรงพัฒนาเร็วและให้ลูกมาก ซึ่งในคอกหนึ่งอาจมีได้ทั้งขนยาวและขนสั้นและบางครั้งอาจมีลูกที่ขนไม่หยิกออกมาบ้างแต่ลูกแมวเหล่านี้ถึงแม้จะประกวดไม่ได้ก็สามารถใช้ทำพ่อแม่พันธุ์ได้อย่างดีเพราะมีพันธุกรรมขนหยิกอยู่ในตัว โดยผู้เพาะพันธุ์มักจะเขียนคำย่อไว้ในเพดดิกรีแมวลาเพิร์มว่าBC

(Curly เกิดมาขนหยิก) BB(Born Bald-เกิดมาไม่มีขน)และ BS(Born Straight-เกิดมาขนตรง)ซึ่งในปัจจุบันนั้นลูกแมวที่เกิดมาไม่มีขนแล้วมีขนหยิกในภายหลังถือว่าหาค่อนข้างยาก

  credit:http://www.chubbypet.com/index.php?mo=3&art=420327

ภาพลวงตา

22 ธ.ค.

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 credit:http://funny.hunsa.com/detail.php?id=9580

ต้ยไม้กินคน

22 ธ.ค.

 

ไฟล์:The ya-te-veo.jpg

เรื่องของต้นไม้กินคนที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนั้นมีที่มาจากข่าวเท็จในพ.ศ. 2424 Carl Liche นักสำรวจชาวเยอรมันได้เขียนถึงหนังสือพิมพ์ South Australian Register โดยอ้างว่าได้เห็นการสังเวยมนุษย์ของเผ่า Mkodo ในมาดากัสการ์

The slender delicate palpi, with the fury of starved serpents, quivered a moment over her head, then as if instinct with demoniac intelligence fastened upon her in sudden coils round and round her neck and arms; then while her awful screams and yet more awful laughter rose wildly to be instantly strangled down again into a gurgling moan, the tendrils one after another, like great green serpents, with brutal energy and infernal rapidity, rose, retracted themselves, and wrapped her about in fold after fold, ever tightening with cruel swiftness and savage tenacity of anacondas fastening upon their prey.

เรื่องราวของต้นไม้กินคนแห่งมาดากัสการ์นี้ได้รับการเผยแพร่อีกครั้งในพ.ศ. 2467 โดยอดีตผู้ว่าการมลรัฐมิชิแกน Chase Osborn ได้ประพันธ์หนังสือเรื่อง Madagascar, Land of the Man-eating Tree. ซึ่งอ้างถึงเรื่องของ Liche และระบุว่าชนพื้นเมืองและมิชชันนารีล้วนรู้จักต้นไม้ชนิดนี้

ในหนังสือ Salamanders and other Wonders, พ.ศ. 2498 Willy Ley ได้ระบุว่าทั้งเผ่า Mkodo และต้นไม้กินคนนี้ไม่มีอยู่จริง

credit:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99

 

ปลาฉลามขาวกับมนุษย์

21 ธ.ค.

 

 

ไฟล์:Carcharodon carcharias.jpg

 

เรื่องของปลาฉลามขาวจู่โจมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันมากผ่านทางภาพยนตร์ อย่างเช่นเรื่อง จอร์ (Jaws) ผลงานของสตีเว่น สปิวเบอร์ก (Steven Spielberg) แสดงให้เห็นถึงภาพฉลามที่โหดร้าย กินคน และเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับมนุษย์ ให้ฝังในใจของผู้ชม ซึ่งอันที่จริงแล้วมนุษย์ไม่ใช่เหยื่อของฉลามตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีรายงานยืนยันฉลามจู่โจมมนุษย์เพียง 31 รายในรอบ 200 ปี และเป็นส่วนน้อยที่เสียชีวิต กรณีที่เสียชีวิตจะเป็นกรณีที่ฉลามลองกัดดูมากกว่า เพราะอยากรู้อยากเห็น ปลาฉลามขาวยังลองกัดพวกสิ่งของอื่นๆ เช่น ทุ่นลอยน้ำ และของที่มันไม่คุ้นเคยอื่นๆ และบางครั้งก็จะใช้เพียงริมฝีปากกัดโดนนักเล่นเซิร์ฟ เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ในกรณีอื่นๆ อาจเกิดขึ้นมาจากความเข้าใจผิด ที่จู่โจมนักเล่นเซิร์ฟจากด้านล่างเพราะเห็นเพียงเงา ดูแล้วคล้ายกับแมวน้ำ หลายกรณีเกิดขึ้นในช่วงที่ทัศนะวิสัย ไม่เอื่ออำนวยกับการมองเห็น และในกรณีที่ประสาทสัมผัสด้านอื่นมีประสิทธิภาพลดลง หรืออาจเป็นเพราะว่า สายพันธุ์ของปลาฉลามขาวไม่ค่อยถูกปากกับรสชาติของมนุษย์ หรือรสชาติไม่ค่อยคุ้นเคย อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์มีทฤษฎีที่ว่า ทำไมอัตราการจู่โจมมนุษย์ที่ร้ายแรงถึงต่ำ มันไม่ใช่เพราะว่าปลาฉลามขาวไม่ชอบเนื้อมนุษย์ แต่เป็นเพราะมนุษย์สามารถหนีขึ้นจากน้ำได้ หลังจากถูกจู่โจมครั้งแรก ในปี 1980 มีรายงานของ จอห์น แม็คคอสเกอร์ (John McCosker) บันทึกไว้ว่า นักดำน้ำที่ดำเดี่ยวคนหนึ่ง ถูกปลาฉลามขาวจู่โจมจนสูญเสียอวัยวะบางส่วนไป แต่ยังว่ายน้ำหนีมาจนได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ให้ขึ้นมาจากน้ำได้ ก่อนที่จะถูกปลาฉลามขาวเผด็จศึก จึงสันนิษฐานได้ว่ารูปแบบการจู่โจมของปลาฉลามขาว คือ จู่โจมสร้างบาดแผลสาหัสก่อนในครั้งแรก แล้วรอให้เหยื่อหมดแรงหรือเสียเลือดจนตาย แล้วค่อยเข้าไปกิน แต่มนุษย์สามารถขึ้นจากน้ำได้ (อาจหนีขึ้นเรือ) ด้วยความช่วยเหลือของคนอื่น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเหยื่อของปลาฉลามขาว ทำให้การจู่โจมครั้งนั้นล้มเหลวไป อีกสันนิษฐานหนึ่งก็คือ มนุษย์ไม่มีคุณค่าทางอาหารมากพอสำหรับปลาฉลามขาว เพราะว่าปลาฉลามขาวมีระบบการย่อยที่ค่อยข้างช้า และร่างกายของมนุษย์มีกระดูก กล้ามเนื้อและไขมันมากเกินไป ส่วนใหญ่ปลาฉลามขาวจะเป็นฝ่ายหมดความสนใจ มนุษย์ที่ถูกโจมตีครั้งแรกก่อนเอง และเหตุที่มนุษย์สียชีวิต ก็เพราะสูญเสียเลือดมากเกินไปจากการสูญเสียอวัยวะบางส่วน มากกว่าที่จะเป็นการสูญเสียอวัยวะสำคัญ หรือถูกกินทั้งตัว นักชีววิทยาบางคนให้ความเห็นว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากถูกปลาฉลามขาวจู่โจมในรอบ 100 ปี มีน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่ถูกสุนัขกัดเสียอีก แต่ความเห็นนี้ยังไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะว่ามนุษย์มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสุนัขมากกว่าปลาฉลามขาว จึงมีโอกาสมากกว่าเมื่อเทียบกับฉลาม มนุษย์ได้มีความพยายามที่จะประดิษฐ์ชุดป้องกันฉลาม แต่ในปัจจุบันอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการป้องกันปลาฉลามขาว คือ อิเล็กทรอนิค บีคอน (electronic beacon) ซึ่งนักประดาน้ำและนักเล่นเซิร์ฟจะใช้กัน โดยมันจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปรบกวนสัมผัสพิเศษของปลาฉลามขาว

credit:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7